top of page

ข้าวไกลนา : ๑๗ ธันวาคม ๒๕๑๙

ได้เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ลงคำให้สัมภาษณ์ของท่านรัฐมนตรมหาดไทย ว่า

เวลานี้ มีตัวแทนของเวียดนามตอนเหนือทำงานอยู่ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ

ผมเองไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน

เพราะเดี๋ยวนี้ ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับหนังสือพิมพ์สยามรัฐแต่อย่างไรทั้งสิ้น นอกจากเขียนบทความ “ข้าวไกลนา” ส่งโรงพิมพ์

ทุกวัน โดยมีค่าตอบแทนเป็นธรรมดา

ผมไม่มีหน้าที่บริหารโรงพิมพ์

ไม่มีอำนาจอย่างใดในโรงพิมพ์

หุ้นในบริษัทสยามรัฐก็ไม่มี เพราะได้โอนให้คนอื่นไปหมดแล้ว

โรงพิมพ์สยามรัฐผมก็ไม่ได้ไป

ใครเป็นใครในสยามรัฐทุกวันนี้ผมก็ไม่รู้จัก

ดูเหมือนบรรณาธิการสยามรัฐจะชื่อ คุณนพพร แต่ก็ไม่แน่ใจนัก เพราะไม่ได้พบกันมานานแล้ว

แต่เมื่อได้ทราบว่า เดี๋ยวนี้มีตัวแทนเวียดนามเหนือ มานั่งอยู่ในสยามรัฐ ผมก็ไม่ได้ตกใจอะไรหรอกครับ

เพราะเห็นว่าเป็นของธรรมดา

หนังสือพิมพ์สยามรัฐนั้นเริ่มพิมพ์จำหน่ายมา ตั้งแต่วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๓

สงครามเกาหลีระเบิดขึ้นในวันนั้น

แต่แรกคนก็นึกกันว่าจะไปได้ไม่กี่น้ำเพราะคนเขาลงความเห็นกันว่า ผมเป็นคนเบื่อง่าย ทำอะไรก็ไม่ยืด ฟิตขึ้นมาก็ทำโน่นทำนี่ พอเบื่อเข้าก็เลิกไป

ไหนๆ จะพูดกันแล้วก็พูดเถิดครับ เดี๋ยวนี้ ผมกลายเป็นคนที่มีสถิติว่า ทำอะไรได้ทนเสียแล้ว

เป็นต้นว่าเป็นนายกรัฐมนตรีพลเรือน ที่อยู่ในตำแหน่งได้นานกว่า ใครต่อใครอีกหลายคน

ที่หนังสือพิมพ์สยามรัฐนี้ ถึงแม้ว่าผมจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในทางธุรกิจหรือทางบรรณาธิการแล้ว ก็ยังเขียนหนังสืออยู่ได้นานกว่าคนอีกหลายคน

และหนังสือพิมพ์สยามรัฐก็คงยั่งยืนมาได้ถึงทุกวันนี้เป็นปีที่ ๒๗ แล้ว ดูเหมือนจะมีอายุมากที่สุด ในกระบวนหนังสือพิมพ์ไทยด้วยกัน ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้

เมื่อหนังสือพิมพ์สยามรัฐมีอายุนานอย่างนี้ ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่คนทำงานในสยามรัฐจะต้องมีเข้าออกถ่ายเทกันไป แต่เมื่อรวมกันแล้ว คนที่เคยทำงานหนังสือพิมพ์สยามรัฐและมาเริ่มทำงานหนังสือพิมพ์สยามรัฐก็มีจำนวนมาก

และในคนจำนวนมากนั้น ก็ย่อมจะมีดีบ้างชั่วบ้างเป็นธรรมดา ไม่ใช่ของแปลก

คนที่ออกจากสยามรัฐไปแล้ว ไปได้ดิบได้ดี มีชื่อเสียงในบ้านเมืองก็มีมาก

เช่นผมเองเป็นตัวอย่าง

ไปเป็นถึงนายกรัฐมนตรี

มีอย่างที่ไหน ?

นอกจากนั้น ก็มีคนอื่นๆอีกมาก ที่ท่านเป็นใหญ่เป็นโตอยู่ทุกวันนี้ ก็มีมากมายหลายคน รู้ๆกันอยู่แล้ว อย่าให้ผมต้องทำบัญชีหางว่าวออกชื่อเสียงเรียงนามท่านเลยครับ

หนังสือพิมพ์สยามรัฐเป็นที่ฝึกคารม ฝึกการเขียน เป็นที่หาชื่อเสียงให้แก่คนที่เริ่มจะดัง

แต่ที่หนังสือพิมพ์สยามรัฐไม่เคยทำ ก็คือ การล้างสมองคนให้เป็นขวาหรือเป็นซ้าย หรือเป็นอะไรทั้งนั้น

เปรียบไปก็เหมือนสำนักดาบ ที่ฝึกคนให้รู้เพลงอาวุธ มีดาบคม เมื่อเรียนจบออกไปแล้ว จะไปเข้ากับฝ่ายใด รบให้ฝ่ายใดก็ได้ หนังสือพิมพ์สยามรัฐไม่รู้ด้วย

คนที่ผ่านสยามรัฐไปแล้วนั้น จึงเป็นคนที่ซ้ายจัดก็มี ขวาตกขอบก็มี หัวรุนแรงก็มี หัวอ่อนก็มี ดุเดือดจนใครเข้าไม่ติดก็มี อ่อนแอก็มี

กินเหล้าจนตายไปเองก็มี

ฉิบหายล้มละลายจนตั้งตัวไม่ติดก็มี

วิธีที่เขียนหนังสือนั้นก็มีแตกต่างกันจนประมาณไม่ได้ คนสยามรัฐทั้งเก่าและใหม่ถ้าจะว่าไปก็เป็นคนเขียนหนังสือดีด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็มีสไตล์ต่างกันและวัตถุประสงค์ต่างกัน

บางคนก็เขียนมีสาระ

บางคนก็เขียนตลกโปกฮา

บางคนก็เขียน สักแต่ว่าให้ได้เขียน

บางคนก็ชอบเขียนด่าคนอื่นให้ฟัง โดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงว่า คนที่ถูกด่านั้นเขาผิดจริงหรือไม่

บางคนทำงานกับห้างรับเหมาทำงานให้ราชการ แต่พอห้างของตนยื่นซองประมูลแพงไป ก็มาเขียนด่าบริษัทที่เขารับเหมา

งานได้ว่า สารเลวต่างๆและหาว่าหน่วยงานราชการนั้นคอรัปชั่น

ผมก็ได้แต่นั่งดูมาตลอด ด้วยความระทึกใจ

แต่ความจริงมีอยู่อย่างหนึ่งว่า หนังสือพิมพ์สยามรัฐนั้น เมื่อส่งเสริมให้นักเขียนทุกคน เป็นตัวของตัวเอง โดยไม่ล้างสมองใครแล้ว หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ก็ไม่ยอมให้ใครล้างสมอง และไม่ยอมให้ใคร มาเอาหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เป็นสนามด่าคน เพื่อประโยชน์ของตนเองเช่นเดียวกัน

เห็นใครแสดงท่าออกมาเช่นนั้น หนังสือพิมพ์สยามรัฐก็ไม่เล่นด้วย

และก็เห็นจะเป็นเพราะเหตุนี้กระมัง ที่หนังสือพิมพ์สยามรัฐมีมิตรก็มาก

มีศัตรูก็มาก

ก็เป็นธรรมดาอีกล่ะครับ

มีข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งว่า คนที่อยู่สยามรัฐบางคนนั้น ขณะที่อยู่ก็ดูจะเป็นกลางดี รักประชาธิปไตย รักสิทธิเสรีภาพ

แต่พอออกไปแล้วก็เปลี่ยนแปลง หมดความเป็นกลาง บางคนไปเห็นว่าคอมมิวนิสต์เป็นประชาธิปไตยไปเสียก็มี

บางคนก็กลายเป็นเผด็จการขวาจัด ทำท่าจะเป็นฮิตเลอร์ไปเลยทีเดียว

ผมจึงเดาเอาว่า หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ซึ่งผมเป็นคนนอกอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็คงยังมีลักษณะเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก

เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่อยู่ในสยามรัฐจึงจะต้องประกอบด้วยคนหลายประเภท มีความเห็นแตกต่างกัน

แต่เมื่อยังอยู่ในสยามรัฐ ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ ของหนังสือพิมพ์สยามรัฐเอาไว้ ไม่แสดงตนให้ปรากฏ

ต่อเมื่อออกจากสยามรัฐไปแล้ว จึงจะแสดงตนให้ปรากฏชัดแจ้ง

เพราะฉะนั้น ในขณะนี้หนังสือพิมพ์สยามรัฐ จะมีเวียดนามเหนือ เข้าไปอยู่ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐบ้างหรือไม่ ผมก็ไม่ทราบ

จะไปรู้เอาก็ตอนออกไปแล้ว ว่าใครเป็นเวียดนามเหนือ หรือเวียดนามใต้ หรือเป็นพม่ารามัญหรือกะเหรี่ยงต้องซุ่

ถ้าหากมีเวียดนามเหนือเข้ามาอยู่จริง ก็จะต้องคอยดูกันต่อไปว่า ทางราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระทรวงมหาดไทย ท่าจะทำอย่างไรกับเวียดนามเหนือคนนั้นหรือเหล่านั้น

ท่าจะปล่อยให้เวียดนามเหนือเข้ามาบ่อนทำลายบ้านเมือง อยู่ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐนี้ ก็ดูกระไรอยู่

แต่ถ้าท่าไม่ทำอะไร ปล่อยให้อยู่ต่อไป ผมก็ได้แต่ผิดหวัง

ผมได้บอกมาแล้วว่า คนที่เคยอยู่สยามรัฐนั้น เมื่อออกไปแล้ว เปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังมือก็ได้

เมื่ออยู่สยามรัฐนั้น ดูกระเดียดซ้ายนิดๆ แต่พอออกไปแล้ว กลายเป็นขวาตกขอบก็ได้

ผมจึงได้แต่หวังว่าเวียดนามเหนือที่อยู่ในสยามรัฐในขณะนี้ คงจะออกจากสยามรัฐไปสักวันหนึ่งและเมื่อออกไปแล้วก็หวังว่า

จะเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ อย่างที่ได้เปลี่ยนไปแล้วหลายคน

คือเปลี่ยนจากคอมมิวนิสต์ ไปเป็นขวาตกขอบเลย

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง หนังสือพิมพ์สยามรัฐก็จะไม่ได้มีอายุถึง ๒๗ ปี โดยไร้ความหมาย

ความหวังของผมนี้มีทางเป็นไปได้มากที่สุด

เพราะเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกินครับ

หมายเหตุ ดูตัวของผมเองทุกวันนี้แล้วก็เกิดเห็นไปว่า ตัวผมเองนี้เก่งพิลึกเลยทั้งที่หาข่าวหรือเรื่องอะไร มาเขียนหนังสือพิมพ์

ได้ยาก ผมก็ยังมีเรื่องเขียนหนังสือพิมพ์โดยไม่ซ้ำกันได้ทุกวันซีน่า !

#ขาวไกลนา #คกฤทธ #คอลมนคกฤทธ

ข่าวสารล่าสุด