ซือแป๋คิดลึก
หว่อปู๋พ่าหนี่….. กูไม่กลัวมึง…..
วาจาข้างต้นไม่ใช่คำหยาบ แต่เป็นคำพูดประวัติศาสตร์ ซึ่งเจ้าของคำพูดนี้ ได้กลายเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ไทยไปแล้ว เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2538
พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบ ทิ้งไว้แต่ผลงานฝากไว้แก่แผ่นดินซึ่งชีวิตของท่านผ่านมาทั้งหมด 4 แผ่นดินตั้งแต่รัชการที่ 6-9 อาจารย์หม่อม ตามที่คนไทยส่วนใหญ่เรียกกันติดปากทิ้งประเทศนั้น มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ถึง 84 ปีอย่างมีสีสันแทบจะกล่าวได้ว่า มีคนไทยหรือกระทั่งคนต่างชาติ น้อยคนนักในโลกนี้ ที่จะมีชีวิตตื่นเต้าเร้าใจได้เท่ากับท่าน
พฤติกรรม วจีกรรม กายกรรม วรรณกรรมของท่าน มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อสังคมไทย ทั้งในแง่สังคมจิตวิทยา การเมืองการปกครอง ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณี
ซือแป๋มีชาติวุฒิที่สูงส่ง ขณะเดียวกันก็มีความเป็นสามมัญชนคนเดินดินอยู่ไม่น้อย ท่านไม่เคยเสรแสร้างลงไปขุดดินดายหญ้า กวาดถนนเพื่อหาคะแนนนิยมในช่วงเวลาหาเสียง แต่การกระทำตัวอย่างสบายๆ โดยไม่ต้องดัดจริต กลับทำให้ท่านฮิตติดตลาดเป็นที่รู้จักของคนทุกชั้นตลอดมา
อาจารย์เกษม ศิริสัมพันธ์ ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดอาจารย์หม่อมได้เขียนถึงท่านว่า
“สรุปแล้ว ชีวิตของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ก็เหมือนกับชีวิตมนุษย์ปุถุชนทั้งหลาย คือมีรสหวานเปรี้ยวเค็มมันและเผ็ดไปตามวิสัย แต่ที่แน่นอนอย่างหนึ่ง ชีวิตของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ไม่เคยมีรสจืดแม้แต่สักวันเดียว”
หลายท่านคงเห็นด้วยกับข้อความนี้แน่นอน เพราะ “ซือแป๋แห่งซอยสวนพลู” ไม่มีวันจืดกระทั่งวาระสุดท้าย
ซือแป๋ผู้ยิ่งใหญ่รักษาความเค็ม เช่นเดียวกับเกลือที่รักษาความเค็ม เพราะบั้นปลายชีวิตของท่าน ยังนอนดูดน้ำเกลือ ผ่านสายยางตลอดเวลา
ฉายาที่ท่านได้รับการกล่าวขานทั้งทางดีและร้ายนั้น ขมวดลงให้เห็นเด่นชัดได้เพียงหนึ่งเดียวคือการยอมรับว่า ซือแป๋ผู้ยิ่งยงคนนี้มีความเป็นอัจฉริยะ
ซือแป๋กล้าทำให้สิ่งที่หลายคนแม้กระทั่งคิดก็ยังไม่กล้า ท่านกล้าพูดในสิ่งที่บางคนไม่กล้าแม้กระทั่งจะกระแอมไอ
การที่ท่านกล้าทำอะไรสวนทางปืนนั้น อาจเป็นเพราะท่านเกิดแปลกกว่าคนอื่นๆ โดยเกิดภายในเรือ ที่กำลังแล่นทวนกระแสน้ำเจ้าพระยา จากพระนครขึ้นไปทางเหนือ เพื่อไปที่จังหวัดพิษณุโลก แต่เมื่อเรือแล่นไประหว่างทางถึงบ้านภาชีน้ำร้าย ตำบลบ้านม้า อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ท่านก็ใจร้อนรีบออกมาจากครรภ์หม่อมแม่
ดูจากการเกิดในเรือที่แล่นทวนกระแสน้ำ แล้วมาเกิดในหมู่บ้าน ตำบลและจังหวัด ที่มีชื่อมันๆ ล้วนเป็นนิมิตส่อให้เห็นว่า ทารกคนนี้ “เอาเรื่อง”
ยังมีเกร็ดอีกว่า พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าคำรบ ทรงมีบุตรธิดา 4 คนสมพระทัยแล้ว เพราะมีบุตรี 2 คนและบุตรชาย 2 คน จึงตั้งชื่อบุตรคนที่ 4 ว่า ม.ร.ว.ถ้วนเท่านึก แต่แล้วกลับได้เพิ่มอีกคนหนึ่งด้วยความไม่ตั้งใจ จึงนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายตัวแด่สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ สมเด็จพระพันปีหลวง
ขณะที่ถวายตัวนั้น ลูกคนที่ 5 ซึ่งกำลังฉายแววซนตั้งแต่เด็ก ได้สบัดแข้งขาไปชกถูกพระองค์สมเด็จพระพันปีหลวง พระองค์จึงทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อให้ว่า
“คึกฤทธิ์”
นับแต่นั้นมาชื่อนี้ก็ฮิตระเบิดเถิดเทิง สะท้านยุทธจักรทั้งไทยเทศจนมีคนตั้งชื่อตามอย่างเป็นทิวแถว เพราะเห็นเป็นชื่อมีความหมายลึกซึ้งทั้งแบบไทยแท้ และไทยผวน
เจ้าของชื่อต้นตำรับก็กลายเป็นดาวจรัสแสงตั้งแต่เด็กจนชรา ฝากชื่อไว้ในพสุธาทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างแสบๆ คันๆ มันจนเกร็ดสุดท้าย เมื่อสวมหัวโขนเล่นละคร ท่านก็เป็นนักแสดงระดับจอมอสูรยักษาทศกัณฐ์เจ้าเมืองลงกา ผู้มีฤทธานุภาพ
เมื่อเป็นคนจริงๆ ก็เป็นได้ถึงนายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรัฐบาลผสมหลายพรรค มากเป็นโหล แบบทำสถิติโลกไว้เลย ทั้งที่ตนเองเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่มี ส.ส.เพียง 18 คน ก่อนหน้านั้นก็ซ้อมบทเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้วในชีวิตมายา ด้วยการแสดงภาพยนตร์กับดาราระดับอินเตอร์ อย่างมาร์ลอน แบรนโด โดยที่ซือแป๋แห่งไทยแลนด์รับบทเป็นนายกรัฐมนตรีเมืองสารขัณฑ์
ผลงานของท่านมีเหลือคณานับ แต่ที่ควรจดจำอย่างยิ่งคือ ตอนที่เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ได้ตัดสินใจเปิดสัมพันธ์ทางการทูต กับสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างสายฟ้าแลบ ในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2518 ซึ่งได้เจริญสัมพันธไมตรีมาครบรอบ 20 ปีในปีนี้
เสียดายจริงๆ ที่ซือแป๋ต้องนอนแซ่ว ในวาระอันสำคัญนี้ อยู่ในโรงพยาบาล ไม่ได้ชื่นชมกับผลงาน ที่ตนเองได้สร้างไว้ให้ถนัดใจ
ความจริงซือแป๋ย่อมมีสายเลือดพันธุ์มังกรอยู่พอตัวทีเดียว เพราะต้นสกุลของท่านนั้นมีเทือกเถามาจากจีนแผ่นดินใหญ่ สืบย้อนหลังไปตั้งแต่สมัยอยุธยาดังนี้
ชายจีนแซ่หลิม (หลิน) ชาวฮกเกี้ยนได้อพยพมาอยู่เมืองไทยและมาตั้งรกราก จนมีผู้สืบสกุลอยู่ในเมืองไทย
นายอินบุตรของชายจีนแซ่หลิม มีความสามารถในทางการค้าจนตั้งตัวเป็นเจ้าสัว มีฉายาเจ้าสัวเตากะทะ และได้รับโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระอินทรอากร
เจ้าสัวเตากะทะได้ถวายธิดาแด่รัชกาลที่ 2 ซึ่งทรงโปรดเกล้าฯ เป็นเจ้าจอมมารดาอำภา และมีพระโอรสธิดารวม 6 พระองค์จากเจ้าจอมพระองค์นี้
โอรสองค์หนึ่งมีพระนามว่า พระองค์เจ้าชายปราโมช(ต้นสกุลปราโมช) และเป็นพระบิดาของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าคำรบ ซึ่งมีบุตรคนที่ 5 ชื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ดังที่กล่าวมาแล้วตอนต้น ซือแป๋คิดลึกจึงถือว่าตนเองสืบสายพันธุ์มังกรมาจากแซ่หลิม ซึ่งแปลว่า “ป่า”
เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ มีนักการเมืองบางคน ได้ใช้นโยบายแจกป่าหาเสียงจนอื้อฉาว อาจเป็นเหตุนี้กระมัง ที่ทำให้อาจารย์หม่อมเสียใจ กระทั่งล้มป่วยจนไม่หายใจ ผิดกับทุกครั้ง ที่ป่วยหนักถึงขนาดหามส่งโรงพยาบาล เข้าไปไม่นานก็กลับออกมา วาดลวดลาย ขายความคิดลึกได้สะบัดช่อ