top of page

ซอยสวนพลู : ๙ พฤษภาคม ๒๕๒๗

“คึกฤทธิ์อารมณ์กลับหันมาง้อให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ เปลี่ยนจุดยืนที่เคยห้าม ส.ส.ไม่ให้ขับเปรม กลับเป็นหนุน บอก ทำให้ก็ดี”

ข้างต้นนี้เป็นเนื้อข่าวหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2527

ครับ เขียนข่าวกันง่ายๆ แบบนี้ ก็ต้องตอบกันแบบกุ๊ยๆ เช่นเดียวกัน

เหตุเกิดเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม สมาชิกสภานิติบัญญัตินัดพบปะสังสรรค์กันที่โรงแรมดุสิตธานี หลังจากที่ได้ห่างเหินกันไปถึงสิบปี ผมก็ไปในงานนี้

ขณะที่ผมเดินจะไปเข้าห้องอาหาร พร้อมด้วยสมาชิกสภานิติบัญญัติ อีกหลายท่าน เท่าที่ได้มีท่านอาจารย์ประภาศน์ชัย เป็นต้น ก็มีคนหนังสือพิมพ์กลุ่มหนึ่งมารออยู่ แล้วก็ล้อมหน้าล้อมหลังขอสัมภาษณ์ผม ผมก็ให้สัมภาษณ์

ผมก็ไม่ได้ไปง้อใคร สมาชิกสภานิติบัญญัติที่ท่านเดินไปกับผมเป็นพยานได้

คนอื่นต่างหากที่หน้าด้านมาขอสัมภาษณ์ผมเอง

หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นๆ ที่มาสัมภาษณ์ผมในคืนนั้น รุ่งขึ้นก็ลงข่าวกันตามปกติ ไม่ได้โปรยหัวข่าวว่าผมไปง้อใคร หรือไปกราบตีนง้องอนใครให้มาสัมภาษณ์ผม

มีแต่หนังสือพิมพ์กุ๊ยฉบับเดียวเท่านั้น

ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าว และบทความที่โกหกมดเท็จ และยุให้รำตำให้รั่วอยู่ตลอดเวลา เช่น ข่าวเดียวกันนี้ มีข้อความว่า

“ศึกตีความญัตติด่วนของ ส.ส.ถึงจุดเดือด “อุกฤษ” ฉีกหน้า “อุทัย” สั่งบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมรัฐสภาแล้ว”

เห็นไหมครับว่า กุ๊ยแค่ไหน?

ระเบียบข้อบังคับของรัฐสภานั้น ไม่กระดิกหู เพราะถึงจะอ่านก็คงไม่เข้าใจ อาศัยความกุ๊ยออกหนังสือพิมพ์หาสตางค์ไปเล่นโป เล่นม้า และเที่ยวไนท์คลับดิสโก้กันไปวันหนึ่งๆ

ความจริงนั้น เมื่อมีญัตตินั้นส่งถึงประธานรัฐสภา ท่านก็ต้องเรียกประชุม และบรรจุเข้าระเบียบวาระ เป็นการทำหน้าที่ของท่าน ตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับ ไม่ได้ไปฉีกหน้าใคร หรือคิดจะฉีกหน้าใครที่ไหน

การที่เขียนข่าวลงไปว่าการทำหน้าที่ตามกฎหมายของคนๆ หนึ่งเป็นการฉีกหน้าคนอีกคนหนึ่งนั้น เป็นการเขียนแบบกุ๊ยซึ่งมีสันดานที่จะกระทำย่ำยีคนอื่น และฉีกหน้าคนอื่นอยู่ตลอดเวลา

ถ้าผมไม่พูดไว้ก็คงไม่มีใครกล้าพูด ทั้งที่รู้กันอยู่เต็มอก

และเพราะเหตุที่ไม่ใครเขาอยากพูด เพราะไม่อยากจะเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือนี้ หนังสือพิมพ์บางฉบับกลับเข้าใจผิด นึกว่าตนเองมีอำนาจ ที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจ กำเริมเหิมเกริมขึ้นทุกวัน

จึงต้องพูดกันไว้บ้าง จะด่าผมอีกสักเท่าไหร่ผมก็ไม่กลัว

เพราะถ้าใครมากุ๊ยกับผม ผมก็จะกุ๊ยตอบ

ใครเอาของโสโครกมาสาดผม ผมก็มีของโสโครกที่จะสาดกลับ

ไม่ใช่เอาพิมเสนไปแลกกับเกลือดอกครับ เพราะผมไม่มีพิมเสนจะไปแลกกับใคร มีแต่ของปฏิกูล ทำเป็นปุ๋ยหมักเก็บเอาไว้ ใครเอาเกลือมาแลกก็แลกได้แค่นั้น

ความโกหกตอแหลของหนังสือพิมพ์กุ๊ยฉบับนี้ หาประมาณมิได้ แม้แต่คนหนังสือพิมพ์ด้วยกันก็ไม่เว้น

กัดดะไม่เลือกหน้าว่างั้นเถอะ

เช่นเมื่อตอนผมไปนอกเมื่อเร็วๆ นี้ หนังสือพิมพ์กุ๊ยเขียนคอลัมน์เจาะเกราะว่า ผมเรียก ม.ร.ว. พันธุ์ดิศ ดิศกุล ไปพบที่อังกฤษ เพื่อมอบหมายงานบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์สยามรัฐให้ เพื่อคุณสมบัติ ภู่กาญจน์ บรรณาธิการสยามรัฐ ทราบเรื่องนี้ ก็เป็นเดือดเป็นแค้นมาก ถึงกับจะลาออก ส่วนคุณจัตวา กลิ่นสุนทร บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์ สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ก็เคียดแค้นมากเช่นเดียวกัน เพราะคิดว่าตัวเองควรจะได้เป็น บรรณาธิการหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน

บทความนี้เป็นการโหกบริสุทธิ์ หาธาตุของความจริงไม่ได้เลย

และเป็นไปไม่ได้เหมือนรอยส้นตีนในอากาศ

ความจริงมีดังต่อไปนี้

1. ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ในการบริหารหนังสือพิมพ์สยามรัฐ แต่อย่างใดทั้งสิ้น หุ้นของผม ในบริษัทสยามรัฐ ก็ได้จำหน่ายจ่ายแจก แก่ผู้อื่นไปหมดแล้ว เหลืออยู่เพียง 30 กว่าหุ้น ยังไม่รู้จะให้ใคร เพราะกลัวเขาจะหาว่าผมดูถูกเขา เพราะฉะนั้น ผมจึงไม่มีอำนาจหน้าที่ จะไปปลดใครจากตำแหน่งใดๆ หรือตั้งใครให้รับตำแหน่งใดๆ ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐได้ทั้งสิ้น

2. เมื่อก่อนผมไปอังกฤษ ผมได้ตกลงกับบริษัทอเมริกันเอ๊กสเปรส ว่าจะแสดงหนังโฆษณาให้แก่เขา ในกรุงลอนดอน โดยที่เขาบอกว่าเขาจะบริจาคเงิน ให้แก่มูลนิธินักเรียนที่ขาดแคลน ในพระบรมราชินูปถัมภ์ 100,000 บาท ผมก็ตกลง เพราะผมเป็นนายกกรรมการบริหารมูลนิธินี้อยู่ และถือว่าถ้าผมหาเงินเข้ามูลนิธินี้ได้ จะมากน้อยอย่างไร ก็เท่ากับว่าผมได้ช่วยนักเรียนที่ขาดแคลนทั้งเมืองไทย เป็นการสนองพระเดชพระคุณ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งมีต่อผม เป็นล้นพ้นหาที่สุดมิได้

ในการนี้บริษัทอเมริกันเอ๊กสเปรส ได้ว่าจ้างบริษัทโฆษณาในเมืองไทยบริษัทหนึ่ง ให้เป็นผู้สร้างทำภาพยนตร์โฆษณานี้ บริษัทโฆษณาจึงได้ยกกองไปถ่ายภาพยนตร์ ที่กรุงลอนดอน

คุณพันธุ์ดิศ ดิศกุล ทำงานอยู่ในบริษัทโฆษณานี้ และบริษัทสั่งให้ไปลอนดอน ในคณะที่ถ่ายภาพยนตร์นี้ด้วย

คุณพันธุ์ดิศกับผมพบกันตอนถ่ายภาพยนตร์ ซึ่งกินเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แล้วก็มิได้พบกันอีกเลย

ดูเอาเถิดครับ จับเอาไปเป็นเรื่องเขียนบทความโกหกได้ทั้งฉบับ แล้วยังยุให้รำตำให้รั่วให้เกิดแตกกันในโรงพิมพ์สยามรัฐด้วย

ชั่วแต่ว่าทั้งคุณสมบัติและคุณจัตวามีศีลมีสัตย์พอที่ไม่หวั่นไหว หรือจะรู้สันดานคนเขียนบทความอยู่แล้วผมก็ไม่ทราบ

คนที่ไร้สัจจะโกหกเขากินนั้น พระท่านเรียกว่าคนพาล

ภาษาจีนเรียกว่า กุ๊ย

ผมก็ต้องใช้ภาษาจีนกันบ้างละครับ

#ซอยสวนพล #คกฤทธ #คอลมนคกฤทธ

ข่าวสารล่าสุด
คลังข้อมูล