top of page

ข้าวไกลนา : ๑๖ ธันวาคม ๒๕๑๙

ได้อ่านบทความ เทศกาลบ้านเมือง ของท่าอาจารย์เกษม ศิริสัมพันธ์ ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐฉบับวันที่ ๑๔ ธันวาคมแล้ว เรื่องนิยายอิสป เรื่องเด็กเลี้ยงแกะที่ชอบร้องหลอกชาวบ้านว่า มีหมาป่าเข้ามากินแกะ ผมกลับมีความเห็นตรงข้าม

ไม่ใช่มีความเห็นตรงข้ามกับท่านอาจารย์เกษม ศิริสัมพันธ์ หรอกครับ แต่มีความเห็นตรงข้ามกับนิทานอิสป

ตามเรื่องในนิทานอิสปนั้น เมื่อเด็กเลี้ยงแกะชอบหลอกชาวบ้านว่า มีหมาป่าเข้ามา บ่อยครั้งเข้า ชาวบ้านก็พาเลิกเชื่อถือเด็ก ครั้นพอมีหมาป่าเข้ามาจริงๆเด็กไปร้องเรียกให้ชาวบ้านมาช่วยชาวบ้านก็ไม่มา หมาป่าก็เลยเอาแกะไปกิน สบายไป

นิทานอิสปเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่าอะไร ผมก็จำไม่ได้เสียแล้วเพราะผมไม่เชื่อถืออิสป แกมักจะสอนอะไรเชยๆ และผิดๆ อยู่เสมอ

ถ้าจะให้ผมเล่านิทานเรื่องนี้แล้ว ผมคงจะเล่าไม่ตรงกับอิสปผู้เป็นเจ้าของเรื่อง

ตามนิทานของผมนั้น เมื่อเด็กเลี้ยงแกะมาร้องบอกว่าหมาป่ามาแล้ว ชาวบ้านก็จะเชื่อทุกครั้งไป

ยิ่งร้องมากก็ยิ่งเชื่อมาก

จนในที่สุด ชาวบ้านบางคน เกิดบ้าจี้กลัวหมาป่า เก็บข้าวของออกจาหมู่บ้านนั้นไปอยู่ที่อื่นก็มี

ชาวบ้านบางคนเชื่อเด็ก เลยตระหนกตกใจ คิดจะลงทุนเลี้ยงแกะ ก็เลิกความคิด เงินทองที่มีเตรียมไว้ เพื่อจะซื้อแกะมาเลี้ยง ให้เกิดประโยชน์แก่หมู่บ้าน ก็ไม่ใช่ลงทุนไปตามความคิดเดิม แต่รวบรวมส่งไปฝากหมู่บ้านอื่น คนในหมู่บ้านอื่นที่เขารับฝาก เขาก็เอาไปหมุน เกิดประโยชน์แก่ตัวเอง สบายไป

นิยายเรื่อง เด็กเลี้ยงแกะกับหมาป่าในชีวิตจริงนั้น ไม่เป็นไปตามที่อิสปได้เล่าไว้ในนิทานของแก แต่เป็นอย่างที่ผมว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในหมู่บ้านที่มีหมาป่าชุกชุม และเคยกินแกะในหมู่บ้านที่ใกล้เคียงมาเสียมากต่อมากแล้ว เมื่อเด็กเลี้ยงแกะมาร้องบอกว่าหมาป่ามาแล้ว ชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นซึ่งกลัวหมาป่าอยู่ ก็ย่อมจะต้องเชื่อเป็นแน่นอน

ถึงแม้ว่าเด็กผู้ร้องว่าหมาป่ามาแล้ว จะมาบอกทีหลังว่า ร้องลองใจหมาป่าเล่นน่ะ ชาวบ้านก็จะไม่เชื่อเด็ก คงจะเชื่อว่าหมาป่ากำลังมาจริงๆ อยู่นั่นเอง

ถึงแม้ว่า หมาป่าจะร้องตะโกนบอกมาว่า ไม่เคยคิดจะเข้ามากินแกะเลย ชาวบ้านคนไหนจะไปไว้ใจหมาป่าได้

และธรรมดาหมาป่านั้น ถ้าจะกินแกะชาวบ้าน ที่ไหนจะมาร้องตอบว่าจะไม่กินเป็นธรรมดา เพื่อให้ชาวบ้านตายใจ

คนที่เชื่อเด็กจะต้องทำอย่างนี้ และเมื่อเกิดความกลัวหมาป่าขึ้นแล้ว ก็คงจะคิดหนีไปอยู่หมู่บ้านอื่นให้ห่างไกลที่สุด เท่าที่จะทำได้ หรือมิฉะนั้นก็เลิกทำมาค้าขาย เพราะกลัวหมาป่า

ในที่สุด หมู่บ้านนั้นก็จะเป็นหมู่บ้านร้าง ไม่มีทั้งแกะ ไม่มีทั้งคน มีแต่หมาป่า

นิทานของผมเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม จะเป็นเรื่องเท็จหรือจริงก็ตาม ถ้าตะโกนบอกชาวบ้านบ่อยๆ ด้วยเสียงอันดังแล้ว ชาวบ้านจะเชื่อ

และธรรมดาชาวบ้านนั้น ย่อมรักและหวงแหนประโยชน์ของตน ยิ่งกว่าประโยชน์อื่นใด เมื่อเกิดตระหนกตกใจเชื่อว่ามีภัยอันตรายกำลังจะมาถึงตน ก็ย่อมจะคิดหนีมากกว่าคิดสู้

เพราะฉะนั้น การที่เด็กร้องตะโกนว่าหมาป่ามาแล้วบ่อยๆ จึงเกิดผลเสียหายแก่ชาวบ้านและหมู่บ้านั้นเอง ไม่ได้เกิดผลเสียหายแก่เด็ก

ในนิทานเรื่องเด็กเลี้ยงแกะกับหมาป่าของท่านอาจารย์เกษม ศิริสัมพันธ์นั้นเอง ชาวบ้านที่เคยคิดจะเลี้ยงแกะ ก็เลิกคิดกันไปมากแล้ว และส่งเงินทองออกไปไว้ที่หมู่บ้านอื่น มากแล้วอีกด้วย ใครจะรู้เรื่องนี้หรือเปล่าผมก็ไม่ทราบล่ะครับ

นิทานอีกเรื่องหนึ่งของผมซึ่งท่านอาจารย์เกษม ศิริสัมพันธ์ไม่ได้เล่าไว้ ก็คือนิทานเรื่องเศรษฐีมีเงินมาก ประกาศว่า จะกู้เงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท มาซื้ออาวุธเพื่อป้องกันรักษาทรัพย์สมบัติของตน

กู้ไหนไม่กู้ ไปกู้ที่ธนาคารโลก

นิทานเรื่องนี้ลำบากมากครับ

เพราะธนาคารโลกเขาจะไม่ให้กู้เป็นแน่นอน ด้วยเหตุที่ธนาคารโลกนั้น เขาตั้งกันขึ้นมา เพื่อช่วยในการพัฒนาประเทศ เพื่อรักษาไว้ซึ่งสันติภาพในโลก

ใครจะไปกู้เขามาเพื่อซื้ออาวุธไว้ป้องกันตัว หรือเพื่ออะไรก็ตามที ย่อมหมายถึงการสงครามทั้งนั้น เขาจะไม่ให้กู้เป็นเด็ดขาด

แม้แต่การพัฒนาประเทศ เขาก็จะต้องตรวจดูโครงการต่างๆที่ขอกู้เงินมาทำนั้นอย่างละเอียด โครงการดีๆที่เขาไม่ให้กู้ก็มีอยู่ถมไป

แล้วธุระอะไร เขาจะมาให้กู้เพื่อซื้ออาวุธถึง ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท

ผมเองไม่ขัดข้อง ในการที่ใครจะซื้ออาวุธ เอามาไว้รักษาบ้านเมือง ถ้าทำได้จริงก็จะอนุโมทนาสาธุการด้วยเป็นอย่างยิ่ง

แต่การซื้ออาวุธนั้น ใครก็ทราบว่าซื้อเชื่อกันได้ เอาอาวุธมาก่อน แล้วก็ทำสัญญาผ่อนส่งเขา ตามที่เราสามารถจะทำได้ โดยไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ใช่ว่าไปกู้เงินมาก้อนโตๆ แล้วนำเอาเงินจำนวนนั้นไปซื้ออาวุธอีกทีหนึ่ง

ที่ผมว่า นิทานเรื่องนี้ออกจะลำบากอยู่ ก็เพราะว่าคนที่ได้ยินได้ฟังเขาก็จะเชื่ออีกนั่นแหล่ะครับ

เขาจะไม่เชื่อตามเหตุผลที่ผมได้ว่ามาแล้ว

และเมื่อเขาเชื่อว่า จะกู้เงินมาซื้ออาวุธถึง ๒๐,๐๐๐ ล้านบาทแล้ว ใครที่เขาเคยคิดว่าจะมาลงทุนค้าขายด้วย หรือสร้างโรงงานด้วย เขาก็ย่อมจะต้องคิดแล้วคิดอีก แล้วเลิกล้มความคิดนั้นไป

เพราะการที่คนต่างประเทศเขาจะมาลงทุนในประเทศใดนั้น เขาจะต้องคิดการณ์ไกลเกี่ยวกับเรื่องหลายอย่าง เรื่องที่เขาจะต้องคิดมากก็คือเรื่องค่าของเงินแห่งประเทศนั้น ว่าจะมีราคาสูงขึ้นหรือต่ำลงในระยะเวลาข้างหน้า

แล้วเขาก็จะคิดต่อไปด้วยว่า ประเทศที่กู้เงินมาลงทุนซื้ออาวุธถึง ๒๐,๐๐๐ ล้านบาทนั้น จะมีฐานะทางเศรษฐกิจต่อไปอย่างไร

สิ่งที่เขาจะต้องเชื่อแน่ๆ ก็คือ ค่าของเงินตราแห่งประเทศนั้นจะต้องตกต่ำลงอย่างแน่นอน

เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้วหรือเชื่ออย่างนี้แล้ว เขาก็จะไม่มาลงทุน

ก็ใครเขาจะมาเล่าครับ ในเมื่อเขาลงทุนไป ๑ บาทในวันนี้ แล้วต่อไปอีกห้าปีข้างหน้า เงินที่เขาลงทุนไป ๑ บาทนั้น จะมีค่าเหลือเพียง ๕๐ สตางค์

เรื่องเหล่านี้ ผมไม่อยากพูดเลยครับ เป็นความสัตย์ความจริง และผมก็จะไม่พูดขึ้นเลย ถ้าหากว่าท่านอาจารย์เกษม ศิริสัมพันธ์ ไม่มาเล่านิทานอิสปเรื่องเด็กเลี้ยงแกะกับหมาป่าเข้า

เพราะผมนั้น ถ้าได้ยินนิทานอิสปครั้งใด ก็เหมือนมีใครมาจุดไฟขึ้นในหัวใจทุกครั้งไป

ทั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของใครหรอกครับ แต่เป็นเพราะนิทานอิสปนั้นเชยเสียเหลือเกิน ไม่สามารถจะเอามาเป็นคติสอนใจอะไรได้

ดูตัวอย่างนิทานอิสปเรื่องราชสีห์กับหนูนั่นปะไร

หนูมาช่วยกัดบ่วงของนายพรานที่ราชสีห์ติดอยู่ จนราชสีห์หลุดออกมาได้แล้วราชสีห์ก็ไม่ได้สนองบุญคุณหนูแต่อย่างไร หนูมันเลยด่าเอาไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งเช้าทั้งเย็น

ถ้าผมเป็นราชสีห์ ผมยอมติดบ่วงนายพราน ให้นายพรานแกเอาไปฆ่า เอาหนังเสียดีกว่า

ก็เท่านั้นแหล่ะครับ ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า นิทานอิสปนั้น จะไปเอานิยมนิยายอะไรนักก็ไม่ได้ อย่าไปเชื่อถืออิสปกันให้มากนักเลย

#ขาวไกลนา #คกฤทธ #คอลมนคกฤทธ

ข่าวสารล่าสุด
คลังข้อมูล
ค้นหาด้วยคำ
ยังไม่มีแท็ก
bottom of page